คลาดสายตา1

เพราะช่วงเด็กกำลังโตเป็นวัยที่ขาดการคิดและความเข้าใจที่จะแยกแยะว่าอะไรควรทำหรือไม่ควร หากบ้านไหนมีเด็กเล็กระวังอย่าให้คลาดสายตา ไม่เช่นนั้นอาจเหมือนเรื่องราวของคุณแม่น้องอลันชาว “HerKid รวมพลคนเห่อลูก” ที่ต้องผ่านประสบการณ์ที่น่าตกใจแบบคิดไม่ถึง ที่ต้องเลี้ยงลูกสอง และเผลอไม่กี่นาทีก็ต้องมีเรื่องน่าใจหายเกิดขึ้น เรื่องราวจะเป็นอย่างไร?  มาดูกันค่ะ

คลาดสายตา2

คุณแม่น้องอลัน “ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็กห้ามปล่อยให้คลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว!!! ย้อนไปเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา 23/5/60 วันที่แม่เกือบเสียลูกชายสุดที่รักไป ช่วงเย็นของวันนั้น มีเราอยู่บ้านกับลัน(ลูกชาย3.8ขวบ) เอลิน(ลูกสาว9เดือน) และ ตา ยาย ประมาณ5โมงเย็น ตอนนั้นทุกคนออกมาอยู่หน้าบ้านกันหมด เพราะมีอุบัติเหตุรถชนตรงหน้าบ้านพอดี เลยทำให้มีกลุ่มชาวบ้านมายืนอยู่หน้าบ้านเราหลายคน เค้าก็ยืนจับกลุ่มคุยกันตามประสาไทยมุง ส่วนเรานั่งอุ้มเอลินอยู่ศาลาไม้หน้าบ้าน อลันก็วิ่งเล่นไปมาอยู่ใกล้ๆ มีชวดกับตานั่งอยู่ด้วยสองสามคน เราก็คอยมองอลันอยู่เป็นระยะๆ ส่วนบ่อปลาคาร์ฟหน้าบ้านห่างจากที่เรานั่งอยู่ไม่ถึง5เมตร เป็นบ่อไม่ใหญ่มากประมาณ 10 ตรม. ลึกประมาณ 70 cm. หรือประมาณหน้าอกอลัน ตอนที่ทำบ่อตอนแรกเราเองไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่เพราะกลัวว่าสักวันลูกเผลอตกน้ำ แต่พอเห็นว่าน้ำมันไม่ลึกมากก็เลยคิดว่ามันคงไม่อันตราย **ข้อนี้คิดผิดมาก ผิดมากที่สุดๆๆๆ บอกเลยว่าไม่ว่าน้ำจะลึกหรือตื้นสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า5ขวบ ถือว่าอันตรายหมด น้ำแค่คืบเดียวก็ตายได้ ตอนนั้นจังหวะที่เรานั่งเล่นอยู่กับเอลินยอมรับว่าเผลอให้อลันคลาดสายตาไป คิดว่าลูกคงไม่ไปไหนไกลเพราะทุกคนอยู่หน้าบ้านกันหมด แต่เราคิดผิดอีกแล้ว ถึงจะมีคนอยู่เยอะก็จริง ซึ่งก็เป็นพี่ป้าน้าอาปู่ย่าตายาย ญาติๆกันทั้งนั้น แต่ตอนนั้นไม่ได้มีใครสนใจมองอลันเพราะเค้ากำลังสนใจเรื่องรถชนกันอยู่ ด้วยความที่เราก็ไม่เคยปล่อยให้ลูกคลาดสายตานานเลยเริ่มเอะใจ ลองเรียกแล้วไม่มีเสียงตอบรับ เลยลุกเดินหาลูก ตอนนั้นไม่ได้นึกถึงเรื่องตกบ่อปลาเลย คิดว่าลูกแอบวิ่งไปเล่นหลังบ้านแน่ๆ กวาดสายตามองหาหน้าบ้านแล้วไม่มีแน่นอน เลยตั้งใจเดินไปหลังบ้าน ซึ่งเดินได้สองทาง คือซ้ายกับขวา(บ่อปลาอยู่ฝั่งซ้าย) อะไรไม่รู้ดลใจให้เราเลือกเดินไปทางซ้ายจึงทำให้ผ่านบ่อปลา จังหวะที่เดินไปถึงบ่อสายตาเหลือบไปที่มุมบ่อพอดี ทำเราแทบล้มทั้งยืน อลันลอยแน่นิ่งอยู่ในน้ำ สภาพคือนอนหงายอยู่ใต้ผิวน้ำ ตาลอย หน้าซีดขาว ปากเขียวกำลังพะงาบเบาๆ จังหวะนั้นใจแม่ร่วงไปที่ตาตุ่มแล้ว หัวใจแตกเป็นเสี่ยงๆ รีบคว้าตัวลูกขึ้นมาแล้วร้องให้คนช่วย จำได้แค่ว่าหลังจากนั้นเราเหมือนคนบ้า พูดไม่เป็นภาษาคน กลัวว่าลูกจะไม่ฟื้น คิดว่าถ้าลูกเป็นอะไรขึ้นมาเราจะทำยังไง เพราะตอนที่คว้าตัวลูกขึ้นมาคือซีดเป็นสีขาวหมดทั้งตัวแล้ว สมองตอนนั้นมันเบลอไปหมด ทั้งตกใจทั้งสับสนว่านี่เรื่องจริงใช่ไหม เคยเห็นคลิปข่าวเด็กจมน้ำอยู่บ่อยๆ แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นกับลูกของเรา สติหลุดไปเลย ส่วนคนที่เข้ามาช่วยก็จับอลันห้อยหัวลงแล้วเขย่า จำไม่ได้ว่ามีใครบ้าง ใจเราคิดไปถึงว่าถ้าลูกไม่กลับมาเราจะอยู่ต่อได้ยังไง ตอนนั้นได้แต่ร้องเรียกชื่ออลันๆๆ ไม่ถึงนาทีก็ได้ยินเสียงอลันก็ร้องออกมา มีคนตะโกนฟื้นแล้วๆๆ แล้วเค้าก็จับอลันพาดบ่าขย่มให้น้ำออก**ซึ่งจริงๆวิธีนี้ไม่แนะนำนะคะ วิธีที่ถูกต้องตามคลิปนี้เลยค่ะ >> https://youtu.be/q9dctVrL9Lgตอนนั้นชุลมุนมากๆ เพราะคนมากันเยอะมาก ได้ยินเสียงร้องโฮร้องไห้กันระงมไปหมด คนเฒ่าคนแก่ต่างตกใจกันมาก เพราะคิดว่าหลานไปแล้ว ส่วนเราก็สติหลุดไปหมด นึกได้แต่ว่าจะต้องเรียกรถกู้ภัย แต่นึกเบอร์ไม่ออกสักเบอร์ สมองมันตึงไปหมด ในมือถ็ถือมือถือแต่กดอะไรไม่ถูกเลย แต่พอรู้ว่าลูกฟื้นแล้วก็รวบรวมสติวิ่งไปหยิบกุญแจรถ วิ่งออกมาอลันก็ร้องหาแม่พอดี เรารีบอุ้มลูกมากอด ส่งกุญแจให้ตาเป็นคนขับ เพราะถ้าเราขับเองคงจะยิ่งอันตรายไปกันใหญ่ ก่อนขึ้นรถคว้าผ้าห่มที่ตากไว้มาได้ผืนนึงพอดี เอามาห่อตัวลูกไว้ ส่วนยายอุ้มเอลินวิ่งตามขึ้นรถมา รีบขับตรงไปรพ. ซึ่งรพ.ที่อยู่ใกล้สุดห่างบ้านประมาณ 15 กิโล ถือว่าไกลแต่มันไม่มีทางเลือกแล้ว ระหว่างทางเราต้องคอยเรียกชื่อลูกตลอด เพราะเค้าทำท่าจะหลับ สะลึมสะลือตลอดทาง อลันบอกว่าหนาว ไม่เล่นน้ำ ไม่เอาน้ำ ถามอะไรเค้าก็ตอบ แต่ตอบแบบช้าๆเบาๆ ต้องหาเรื่องชวนคุยตลอด เพราะกลัวเค้าจะหลับ ถามว่าอลันหิวไหม เค้าบอกหิวค้าบ … อยากกินแพนเค้กค้าบ … ถามว่าง่วงไหม เค้าตอบ…ง่วงค้าบ ถามซ้ำวนไปวนมา จากบ้านถึงรพ.ใช้เวลาประมาณ15-20นาที ซึ่งมันรู้สึกยาวนานมากๆๆๆ พอถึงก็ส่งเข้าฉุกเฉินทันที พยาบาลกับหมอก็วิ่งมารุมๆวัดค่าโน้นนี่นั่น เบื้องต้นค่าอ๊อกซิเจนในเลือดต่ำมาก หลังจากนั้นก็ซักประวัติถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากนั้นก็พาเข้าห้องเอ็กซเรย์ผลออกมาคือมีฝ้าในปอด ซึ่งอาจจะเป็นน้ำหรืออะไรสักอย่าง แต่หมอเดาว่าอาจจะเป็นน้ำที่สำลักเข้าไป แล้วก็เดาว่าน่าจะจมไม่นานโชคดีที่แม่มาเจอก่อน หมอบอกว่ามีเคสเด็กจมน้ำมาบ่อยแต่น้อยคนที่จะโชคดีแบบนี้ ระหว่างที่คุยกับหมอ เป็นช่วงที่สามีขับรถตามมาถึงที่รพ.พอดี พออลันเห็นปะป๊ามาก็ร้องไห้ทันที แล้วก็บอกหนาว หิวข้าว ลูกคงจะกลัวมากๆ หมอบอกถึงอาการที่น่าเป็นห่วงคือ หลังจากนี้อาจจะมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้น เช่น น้ำท่วมปอด ปอดติดเชื้อ สมองบวม จำเป็นต้องติดตามอาการอย่างใกล้ชิดในห้องไอ.ซี.ยู. แม่เลยตัดสินใจว่าจะย้ายไปรพ.เอกชน ที่อลันรักษาอยู่ประจำ แต่พอติดต่อไปทางรพ.ไม่สามารถรับเคสต่อได้ เนื่องจากทางรพ.นั้นห้องI.C.Uเต็ม เลยแนะนำให้ไปรพ.อีกแห่ง แต่เห็นสภาพลูกตอนนั้นแล้วสงสารยังไม่อยากให้เดินทางไกล เลยยังไม่ย้าย อยากให้ลูกได้พักที่นี่ไปก่อน (สรุปได้ย้ายวันรุ่งขึ้นเพราะรพ.ติดต่อกลับมาว่าเพิ่งมีห้องว่าง) หลังจากตกลงเรื่องนอนรพ.เสร็จ ตากับยายก็ต้องพาเอลินกลับบ้านก่อน ส่วนสามีก็กลับบ้านตามไปทีหลัง เพราะที่นี่ให้ญาติเฝ้าได้คนเดียว ซึ่งเราขออยู่กับลูกเอง คืนนั้นหมออนุโลมให้แม่นั่งอยู่กับลูกได้จนกว่าลูกจะหลับเพราะหลังจากนั้นห้ามญาติเข้า อลันต้องนอนคนเดียว สรุปกว่าอลันจะได้หลับเกือบเที่ยงคืน นอนลืมตาไม่ยอมหลับตา ยังดูผวาๆอยู่ แล้วก็ปวดฉี่บ่อยมาก อาจจะเพราะกินน้ำเข้าไปเยอะ ยังดูมึนๆเพลียๆ แม่ก็นั่งลูบหัวลูกอยู่ข้างเตียง ปลอบเค้าจนเค้าหลับ เลยออกมานั่งอยู่หน้าห้อง จริงๆเค้ามีห้องให้แม่เข้าไปนอนแต่ขอนอนหน้าห้องลูกดีกว่า เพราะยังไงก็นอนไม่หลับอยู่ดี ใจสั่นใจหวิวอยู่ตลอดเวลา กลัวลูกจะเป็นอะไรไป คืนนั้นใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย ภาพลูกตอนกำลังจมน้ำลอยอยู่ในหัวตลอดเวลา ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่อยากคิดต่อว่าถ้าเรามาเจอลูกช้ากว่านั้นอีกนิด ลูกคงไม่อยู่กับเราแล้ว คงไม่มีพี่อลัน ไม่มีนายอำเภอวู้ดดี้ที่ชอบร้องเพลงทั้งวันทั้งคืน ชอบทำไข่เจียว เป็นตัวป่วนประจำบ้าน คิดแค่นี้ก็ปวดไปถึงขั้วหัวใจ จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้คิดอะไรได้อีกหลายอย่าง เรื่องจมน้ำเป็นภัยใกล้ตัวมากกว่าที่คิด ใครๆต่างบอกว่าอลันโชคดีมากที่แม่มาเจอทันเวลาพอดี และโชคมันอาจไม่ได้เข้าข้างเราเสมอไป มันคือบทเรียนครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต ทำให้รู้ว่าเมื่อเกิดอะไรขึ้น สติสำคัญที่สุด สติ สติ และสติ เท่านั้น ต่อไปนี้จะไม่ปล่อยให้ลูกคลาดสายตาแม้แต่นาทีเดียว ถ้าอยู่กันหลายคนต้องคุยตกลงกันเลยว่าถ้าใครจะดูลูกดูหลานก็ต้องดูให้ตลอด ถ้าไม่ว่างต้องบอกให้คนอื่นรับรู้ดูแลต่อ เพราะเคยได้ยินหลายเคส ที่คิดว่าลูกอยู่กับคนนั้น ส่วนคนนั้นก็คิดว่าอยู่กับคนนี้ สรุปเด็กไปนอนแน่นิ่งอยู่ในน้ำ เจออีกทีก็ไม่ทันการแล้ว เพราะช่วงเวลาเพียงแค่ 4 นาทีก็ทำให้สมองขาดอ๊อกซิเจนและเสียชีวิตได้ *** 4 นาทีมันสั้นมากนะคะ !! แค่เราเขี่ยหน้าจอมือถือไปมา รอเอฟของหรือคุยกับเพื่อนแปบเดียวก็หมดเวลาแล้ว และเพิ่งรู้อีกอย่างว่าเด็กจมน้ำเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ1ของประเทศ!! และจากสถิติมีเด็กไทยจมน้ำเสียชีวิตเฉลี่ยวันละ 4 คน เยอะจนน่าใจหาย!! ไม่ใช่การจมแค่ในบ่อน้ำ แต่ถังน้ำ กะละมัง หรือภาชนะในบ้านที่มีน้ำอยู่มากกว่า 1-2 นิ้วขึ้นไป ถือว่าอันตรายต่อเด็กทั้งหมด เพราะฉะนั้นบ้านที่มีเด็กเล็กต้องห้ามให้คลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว หากเป็นไปได้ควรพาลูกไปเรียนว่ายน้ำแต่เนิ่นๆ เราว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นมากที่เด็กควรรู้จักทักษะการลอยตัว เด็กที่ลอยตัวได้จะช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตจากการจมน้ำได้มากขึ้น แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับใครอยากให้ทุกคนมีสติ พ่อแม่อย่างเราควรรู้วิธีช่วยเหลือชีวิตเบื้องต้นเพราะเด็กที่รอดจากการจมน้ำได้ก็เพราะได้รับการช่วยเหลือและปฐมพยาบาลที่เร็วและถูกวิธี เบอร์ฉุกเฉินต่างๆท่องจำให้ขึ้นใจเลยค่ะ #1669 แต่ถ้าเป็นไปได้ขอให้อย่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับลูกหลานใครอีกเลย สาเหตุที่อลันตกน้ำ เดาว่าเค้าน่าจะพลัดตกลงไป เพราะทุกครั้งที่อลันจะเล่นน้ำเค้าจะต้องบอกป๊ากับแม่ ไม่มีทางกล้าลงน้ำคนเดียวแน่นอน อีกอย่างถ้าเค้าจะลงน้ำจะต้องถอดเสื้อผ้าออกหมดทุกครั้ง คือยังไงก็ไม่ยอมลงน้ำถ้าไม่ถอดชุด แต่ตอนที่เจอเค้าสวมชุดทั้งเสื้อทั้งกางเกงแล้วก็มีรองเท้าลอยอยู่ด้วย อาการพี่อลันล่าสุดปลอดภัยหายห่วงแล้วค่ะ หลังจากนอนดูอาการอยู่รพ.3วัน มีแค่ปอดอักเสบนิดหน่อย กลับมาทานยาฆ่าเชื้อต่อที่บ้าน วันนี้ตากับยายก็เพิ่งพาไปเรียกขวัญกันมา ส่วนแม่ทุกวันนี้ยังหลับไม่สนิทเลยค่ะ ผวาตื่นมากลางดึก ควาญหาลูกก่อนเลยว่ายังอยู่ดีไหม หายใจอยู่รึป่าว เหมือนคนโรคจิตไปเลย ส่วนบ่อปลาตอนนี้ย้ายปลาออกไปไว้ที่ฟาร์มแทน เอาน้ำออกหมดแล้ว คิดว่าถ้าจะเลี้ยงต่อคงทำระบบป้องกันอย่างดีเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก ขอขอบคุณทุกคนในวันนั้นที่มาช่วยชีวิตอลัน ขอบคุณอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เราเดินไปเจอลูกได้ทันเวลา ขอบคุณลูกชายคนเก่งที่ไม่จากแม่ไปไหน และขอบคุณทุกๆคนที่เป็นห่วงและส่งกำลังใจมาให้พี่อลันด้วยนะคะ ทั้งหน้าไมค์หลังไมค์ โทรศัพท์รับสายกันตลอด ส่วนในinboxตอนนี้ก็ยังไล่ตอบไม่หมด บางทีอ่านแล้วก็น้ำตาซึมไม่คิดว่าจะมีคนเป็นห่วงเป็นใยอลันมากมายขนาดนี้ ต้องขอบคุณแทนอลันด้วยนะคะ ทางครอบครัวเราขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ”

คลาดสายตา3

อย่าให้เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นกับเด็กคนไหนอีกเลยนะคะ เพราะเป็นเรื่องราวที่ปลิดขั้วหัวใจคุณพ่อคุณแม่ได้มากมายจริงๆ ลูกรักที่ยังเด็กต้องการการดูแลค่ะ อย่างไรต้องขอขอบคุณคุณแม่น้องอลันชาว “HerKid รวมพลคนเห่อลูก” มากๆนะคะ ที่นำเรื่องราวเหล่านี้มาเตือนกัน เชื่อว่าคงทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายคนเฝ้าจับตามองลูกน้อยกันมากขึ้นแน่ๆ เพราะการคลาดสายตาเพียงครู่เดียว ก็อาจเรียกชีวิตลูกน้อยกลับมาไม่ได้ค่ะ คราวหน้าจะมีสาระดีๆอะไรมาเล่าสู่กันฟังอีก ห้ามพลาดติดตามกันด้วยนะคะ วันนี้ลาไปก่อน สวัสดีค่ะ…

ที่มา : HerKid รวมพลคนเห่อลูก (Rinyaphat Chirakulphasit)
เรียบเรียงโดย : HerKidรวมพลคนเห่อลูก
อ่านประสบการณ์​อื่นๆ >>> อุทาหรณ์ลูกหัวโตเพราะไฮโดรเซฟฟาลัส อันตรายถึงชีวิต!

 

Comments